เหตุการณ์ในวันนั้นได้จุดประกาย Passion ให้คนหนุ่มสาวอย่าง “เชน ธนา” และ“เจมส์ กาลย์กัลยา” ที่เริ่มคบหาและวางแผนอนาคตร่วมกัน จากการมองเห็น “โอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่” ตลาดวิตามินอาหารเสริม เป็นตลาดที่ผู้บริโภคพร้อมจ่ายเพื่อดูแลตัวเองให้ดีขึ้น สามารถสร้างรายได้แบบทำซ้ำและขยายได้ง่าย และแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของคน “เชน ธนา” และ “เจมส์ กาลย์กัลยา” ภรรยา พร้อมทีมงาน 3 คนแรก ได้แก่ เต้ย วิชชุดา แนน ภิญญ์พลอย และเปรม เปรมศินี กลายเป็นห้าทหารเสือผู้บุกเบิก “อมาโด้” เริ่มต้นบุกเบิกธุรกิจทำทุกขั้นตอนจากคน 5 คน ทั้งแพคของ ทำกราฟฟิกสื่อโฆษณา ทำการตลาดเอง ทำงานกันแบบไม่ถามหาวันหยุด 7 วัน ทุกคนในทีมพร้อมที่จะอุทิศตัวเพื่องาน อมาโด้เริ่มธุรกิจสตาร์อัพเล็กๆ ที่รู้สึกว่ายอดขายวันละ 500 กล่องก็ยากแล้ว ผ่านการแก้ไขปัญหารายวันให้ลุล่วง สั่งสมเป็นประสบการณ์ สู่แนวทางวิธีคิดที่พัฒนาเติบโตขึ้น ด้วยการมีเป้าหมายร่วมกันมี Mission ที่ท้าทายขึ้นเรื่อยๆ จนทำรายได้หมุนเวียนเข้าบริษัท 3 แสนบาท ต่อมาพวกเขาก็กล้าที่จะขยับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านบาท เพราะมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจสุขภาพ ยุคแรกเริ่มของ Start-up ส่วนใหญ่จะเกิดจากการจัดตั้งหลากหลายวิธี เช่น การระดมทุน การ Pitching หาผู้ร่วมลงทุน หรือการกู้เงินจาก Angel fund ซึ่งยุคแรกธุรกิจอื่นมักจะเริ่มต้นด้วยการระดมทุน แต่สำหรับอมาโด้นั้น เลือกเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่ยังไม่มีความรู้เรื่องการทำธรุกิจ Start-up เลย แต่เชน ธนา และทีมบุกเบิกเลือกเริ่มต้นธุรกิจแบบ Start up จากการลงมือเขียนแผนธุรกิจเข้านำเสนอกับ Angel fund จนได้เงินก้อนแรก 5 ล้านบาทมา ขณะที่รายได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ใน ปี 2559 มีรายได้ 79.5 ล้านบาท ปี 2560 มีรายได้แตะ 222 ล้านบาท แต่ในปี 2561 อมาโด้เจอวิกฤตธุรกิจอาหารเสริม จากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแบรนด์อื่นที่ไม่มีคุณภาพ จนผู้บริโภคที่รับประทานได้รับอันตราย ส่งผลให้ผู้บริโภคในตลาดเกิดคำถามกับคุณภาพอาหารเสริมทุกแบรนด์ในตลาดรวมทั้งอมาโด้ด้วยส่งผลให้รายได้ในปีนั้นลดลงเหลือ 176 ล้านบาทแต่ก็เป็นเพียงวิกฤตระยะสั้น ต่อมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการปราบปรามสกินแคร์ที่ไม่มีมาตรฐาน ซึ่งสินค้าภายใต้แบรนด์อมาโด้ทุกตัวผ่านมาตรฐานทั้งหมด เพราะอมาโด้ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์เป็นหัวใจสำคัญ อมาโด้ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง จากพลังความมุ่งมั่นและความตั้งใจทั้งยังแข็งแรงขึ้น ทำให้ในปี 2562 รายได้เติบโตขึ้นมาเป็น 694 ล้านบาท จากวันนั้นจนถึงวันนี้ธุรกิจเราเติบโตมาเป็นธุรกิจพันล้าน เพียง 11 เดือนในปี 2563 ก็สามารถสร้างรายได้แตะ 2,300 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าธุรกิจที่เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 เท่าจากวันแรก
แต่ความสำเร็จในแง่รายได้ไม่ใช่จุดมุ่งหมายเดียวของอมาโด้ อีกจุดมุ่งหมายคือการสร้างดีเอ็นเอของอมาโด้ “เชน ธนา” ได้เป็นต้นแบบให้กับพนักงานในองค์กร จากเงินเดือน 2 หมื่นบาท สู่หลักแสนได้ภายใน 5 ปี ด้วยสามารถบาลานซ์ชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยหลักคิด 2S คือ Singularity คือการยึดหลักแนวคิดของ John von Neumann (1950) หุ่นยนต์พัฒนาได้ด้วยตัวมันเองอยู่เรื่อย ๆ สุดท้ายมันเก่งจน “คน” ตามไม่ทัน อมาโด้จึงยึดหลักการพัฒนาการทำงานของพนักงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ก้าวกระโดด ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อให้งานสำเร็จในระยะเวลาที่สั้นลง Simulation การจำลองสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงในความคิดก่อน เพื่อประเมินผลลัพธ์และเตรียมพร้อมในการรับมือ จะเห็นช่วงเวลา 3 ช่วงเสมอ คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต พอจำลองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ก็จะเห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิด ทั้งผลลัพธ์และอุปสรรค นำไปสู่การทำงานและการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที
จุดเริ่มต้นจากการล้มสู่การลุกขึ้นยืนด้วย Passion ของคนหนุ่มสาว ที่เต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท ปัจจุบัน อมาโด้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ยอดขาย 2,300 ล้านบาท และแบรนด์วิตามินอาหารเสริมแถวหน้า ปีหน้าพวกเขาปักธงนำบริษัทก้าวสู่ “บริษัทมหาชน” ด้วยการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกก้าวใหญ่ของสตาร์อัพรุ่นบุกเบิก จากกรณีตัวอย่าง อมาโด้ ทำให้เห็นว่า สตาร์อัพไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก แน่นอน